โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง |
|
|
|
ดังศรสักปักช้ำระกำทรวง |
|
เสียดายดวงจันทราพงางาม
|
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ |
|
แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
|
จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม
|
|
จากอารามแรมร้างทางกันดาร |
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท
|
|
จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร |
ตามเสด็จเสร็จโดยแดนกันดาร
|
|
นมัสการรอยบาทพระศาสดา |
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ |
|
พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า |
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา |
|
ที่ตั้งตาแลแลตามแพราย... |
ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต
|
|
ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น... |
ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก
|
|
เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี |
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี |
|
ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน |
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง |
|
เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น... |
ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิค |
|
นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล... |
...ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต
|
|
เหมือนซื่อจิตพี่ตรงจำนงสมร... |
...ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่
|
|
ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง... |
ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน |
|
เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว |
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว |
|
พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง |
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก |
|
ตะหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง |
ต้องน้ำค้างช่อชุมเป็นพุ่มพวง |
|
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง |
แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง... |
|
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น
|
ถึงแขวงแพแลตลอดตลาดขวัญ
|
|
เป็นเมืองจันตะประเทศระโหฐาน |
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน |
|
เรือขนานจอดโจษกันจอแจ |
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม |
|
ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ |
ใส่เสื้อตึงรึงรัดอยู่อัดแอ |
|
พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย |
ชมคณาฝูงนางมากลางชล |
|
สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย |
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย
|
|
หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน |
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก |
|
เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น |
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน
|
|
พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว... |
ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง
|
|
โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย |
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย |
|
โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล |
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม
|
|
ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน |
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน |
|
สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน |
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น |
|
ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น |
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน |
|
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล |
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ |
|
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน |
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน |
|
ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง |
ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก
|
|
พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง |
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง |
|
จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแชง |
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก
|
|
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง |
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง |
|
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง |
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมมากรอบส้น |
|
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับย่าง |
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง |
|
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปราณี |
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนกับไทยไม่
|
|
หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโลงผี |
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี |
|
จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป |
ถึงวัดตำหนักพักพลพอเสวย
|
|
แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล... |
ถึงทุ่งขวางกลางบ้านบางกระบือ
|
|
ที่ลมอื้อนั้นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง |
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นกาะกลาง
|
|
ต้องแยกทางสองแควกระแสชล |
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม |
|
ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์... |
...ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ
|
|
นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล |
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ |
|
ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน |
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม
|
|
เป็นสามง่ามน้ำนองเป็นคลองเขิน... |
ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม
|
|
เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล |
ว่าคุ้งหน้าท่าเรือข้ามกระแส
|
|
พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ... |
...ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง |
|
เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา |
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา |
|
ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง |
ดูหน้าตาไม่น่าจะชมชื่น |
|
พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง |
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง
|
|
จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน |
เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง |
|
ออกแจ้งจริงเหลือจะจำไปคำเขียน |
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร |
|
การเปรียญโบสถ์กุฎีชำรุดพัง... |
ถึงคลองสระประทุมานาวาราย
|
|
น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา |
ทั้งวังหลวงวังหลั่งก็รั้งรก |
|
เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา |
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา |
|
ดังป่าช้าพงชัฎสงัดคน |
อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ |
|
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ |
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน |
|
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง |
มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก |
|
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ |
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง |
|
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา |
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก |
|
ชตาตกสูญสิ้นพระชันษา |
แต่ปู่ย่าตายายเราท่านเล่ามา |
|
เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ |
กษัตริย์สืบสุริยวงศ์ดำรงโลก |
|
ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ |
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน
|
|
เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ |
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก |
|
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ |
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย |
|
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย |
หรือธานินทร์สิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค
|
|
ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย |
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย |
|
ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง... |
สุริยนเย็นสนธยาย่ำ |
|
ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน |
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ |
|
ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา |
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก
|
|
จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า |
พลพายนายไพร่บรรดามา |
|
หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮึอ... |
...ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย
|
|
พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ |
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร |
|
เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน |
ครั้งรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน |
|
จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา |
เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ
|
|
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า |
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา
|
|
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง |
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน |
|
ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง |
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง |
|
หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ... |
ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก
|
|
จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ |
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน |
|
ถึงปากจั่นตะละเตือนให้ตรอมใจ... |
...ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ
|
|
เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย... |
ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง |
|
ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น... |
...ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่
|
|
แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย... |
...ถึงอรัญญิกแดดแผดพยับ
|
|
เสโทซับซาบโทมนัสา |
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา |
|
ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ |
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด
|
|
ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว |
พยุยวบกิ่งเยือกขะเยื้อนใบ |
|
ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล |
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด
|
|
เรือตลอดแลหลามตามกระแส |
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ
|
|
ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม |
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด |
|
อุตลุดขนของขึ้นกองสุม |
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม |
|
พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี |
ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสิกขา |
|
ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี |
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี |
|
แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย... |
...กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก
|
|
มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส |
ที่เด่นดีขี่กูบไม่แกว่งไกว |
|
วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง |
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง
|
|
เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง |
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง |
|
พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน |
อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ |
|
เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ... |
...สดับเสียงสัปบุรุษที่หยุดพัก
|
|
เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน |
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร |
|
ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน... |
...เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร |
|
กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง |
บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นก็เซ็งแซ่
|
|
บ้างจอแจจัดการประสานเสียง |
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง
|
|
บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน |
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง |
|
เสียงโฉ่งฉ่างชามแตกกระแทกขัน |
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน |
|
หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย |
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก |
|
กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย |
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย |
|
เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน |
สงสารนางชาวในที่ไปด้วย |
|
ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น |
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน |
|
เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ |
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา |
|
แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ |
มือตะกายสายรัดสคนคอ |
|
เห็นช้างงองวงหนีดก็หวีดอึง |
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด
|
|
สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง |
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง |
|
ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว |
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด |
|
ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว |
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว |
|
บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง |
สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก |
|
บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง |
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ |
|
รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน |
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง |
|
เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน |
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน
|
|
ขะเยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย |
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง
|
|
ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย... |
ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด |
|
ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง |
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง |
|
ไม้สล้างลู่ล้มระทมทับ |
รุกขชาติดาษดูระดะป่า |
|
สกุณาจอแจประจำจับ |
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ |
|
จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ |
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ |
|
ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว |
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร |
|
ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น |
ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง |
|
บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น |
มีโพธิพุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น |
|
ไม่ว่างเว้นสัปปบุรุษเขาหยุดเรียง |
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า |
|
จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง |
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง |
|
เห็นของเรียงอยู่ในร้านทั้งหวานคาว |
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง
|
|
เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว |
พี่คลื่นไส้ไสช้างให้ย่างยาว |
|
มาตามราวมรคาพนาวัน |
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน |
|
ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ |
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน |
|
ไก่เถื่อนขันขานเขาชะวาคู |
ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก
|
|
ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู... |
...ระยะเดินเถินทางมากลางป่า |
|
สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่... |
...ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง
|
|
เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงคาดำ |
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง |
|
รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ... |
...กำหนดนับมรคำพยายาม |
|
ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย... |
...จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย
|
|
จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง |
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง
|
|
พะยอมยางตาพยัคฆ์พะยุงเหียง |
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง |
|
นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ... |
ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร |
|
ในบริเวณอึกกระทึกด้วยพฤกษา |
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา |
|
จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน... |
...ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน
|
|
เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล... |
...ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล
|
|
จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน |
พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ |
|
ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ |
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ |
|
ให้ป้องกันอันตรายในแนวไพร... |
ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ |
|
ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน |
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร |
|
รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม |
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด |
|
ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม |
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม |
|
สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล |
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น |
|
ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย |
ทั้งไพร่นายรายเรียงกันเรียดไป
|
|
ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง |
ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ |
|
ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ |
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง |
|
ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม |
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว |
|
วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม |
ทุกที่ทับสับบุรุษก็พูดพึม |
|
รุกขาครื้มครอบแสงพระจันทร |
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม |
|
ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร |
เป็นวันบรรณรสีรวีวร |
|
พระจันทรทรงกลดรจนา |
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป |
|
กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา |
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา |
|
จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย |
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก |
|
ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย |
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย |
|
พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน |
ดอกไม้ร้องป้องปีบสนั่นป่า |
|
ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน... |
|
|
|
จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก |
|
บริโภคโภชนากระยาหาร |
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ
|
|
เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย |
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น |
|
พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย |
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย |
|
ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน |
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค
|
|
มีรูปรากษสสองอสูรขยัน |
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน |
|
ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น |
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น |
|
ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น |
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น |
|
ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย |
มีต้นกำมพฤกษ์ทานในลานวัด |
|
ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย |
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย |
|
บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว |
ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น |
|
มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว |
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว |
|
ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง |
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น |
|
สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง |
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง
|
|
พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน |
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด
|
|
ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์ |
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน |
|
ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย |
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจุกแจ่ม |
|
กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย |
มีดอกจันทน์ก้านแยงสลับลาย |
|
กลางกระจายดอกจอกประจำทำ |
พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์ |
|
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ |
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ |
|
กินนรร่ำรายเทพประนมกร |
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข |
|
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร |
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร |
|
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง |
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย |
|
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง |
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง |
|
วิเวกวังเวงในหัวใจครัน |
บานทวารลานแลล้วนลายมุก |
|
น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน |
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์
|
|
รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม |
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว |
|
เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม |
ชมภูพานกอดก้านกระหนกรุม |
|
สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง |
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑเหิร |
|
พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์ |
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ |
|
เสด็จทรงคชสารในบานบัง |
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน |
|
โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง |
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง |
|
ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม |
มณฑปน้อยสวมรอยพระบาทนั้น |
|
ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม |
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม |
|
พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย |
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย
|
|
ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย |
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย |
|
ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง |
พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท
|
|
อภิวาทห้ตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง |
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง |
|
เดชะกองกุศลที่ตนทำ |
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว |
|
ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์... |
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท |
|
เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ |
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน
|
|
มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง |
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย |
|
เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง |
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง |
|
มีกุฏิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน |
มีชะวากคูหาศิลาหุบ |
|
ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ |
แต่คนนมัสการนานอนันต์ |
|
บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย... |
ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา |
|
ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา |
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา |
|
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ |
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ |
|
กงกระทบเขากระจายทลายหมด |
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ |
|
จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน... |
มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ |
|
ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน |
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน |
|
พิศเพลินพฤกษาบรรดามี |
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก |
|
ชื่อสำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี |
สำคัญปากคูหาศาลามี |
|
ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน |
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ห้อย
|
|
มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน... |
ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น
|
|
สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง |
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง |
|
เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดดิน |
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ |
|
เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน |
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน
|
|
กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน |
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น |
|
ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน |
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ |
|
ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร |
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว |
|
ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ |
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน |
|
ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา |
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา |
|
รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน |
บนยอดเขามีสองสุนักขา |
|
สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน |
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน |
|
สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง... |
ถึงคูหาชื่อชาลวันถ้ำ
|
|
วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง |
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง |
|
เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง |
สมมติแลแง่หินชะง่อนหุบ |
|
เป็นที่รูปสิงห์สัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง |
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง
|
|
ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว |
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ
|
|
เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว |
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว |
|
ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย |
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม |
|
ศิลาแวววาววามอร่ามฉาย... |
จะกลับหลังยังพระพุทธบาท |
|
เหนื่อยอนาฤอกใจมิใช่เล่น |
ครั้นค่ำนอนตะละตายทั้งกายเย็น
|
|
ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง |
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ |
|
ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง |
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง
|
|
เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย |
สารพันกันภัยลูกนาคพช |
|
เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย |
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย |
|
เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว |
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า |
|
ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว |
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว
|
|
มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง |
พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพง |
|
เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง |
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง |
|
ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร |
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม |
|
วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน |
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร |
|
เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง |
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม |
|
โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง |
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง |
|
กระทั่งถึงธารเกษมค่อยส่างใจ |
ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย |
|
พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย |
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว |
|
สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน |
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า |
|
ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน |
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน |
|
ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม |
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง
|
|
ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม |
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม |
|
ให้แสนโทมนัสทัศนา |
คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ |
|
สนุกคือเรื่องอิเหนาเสนหา |
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา |
|
อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน |
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช |
|
สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน |
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน |
|
แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม |
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ
|
|
ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม |
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม |
|
แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง |
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย |
|
ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง |
ล้วนจับคู่ชู้ชายชะม้ายเมียง |
|
ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน... |
ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่
|
|
ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม |
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ |
|
เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง |
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า |
|
เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง |
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง
|
|
หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย |
มีละคอนผู้คนอลหม่าน |
|
กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส |
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป |
|
พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล |
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก |
|
ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ |
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ |
|
บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน |
ละคอนหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ |
|
ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน |
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน |
|
ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ |
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด |
|
ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ |
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ |
|
คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง |
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก |
|
จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง |
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ |
|
พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร |
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา |
|
บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร |
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน |
|
แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน |
จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง |
|
จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ |
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ |
|
อภิวันท์ลาบาทพระชินวร |
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด |
|
ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร |
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร |
|
น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย |
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด |
|
โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย |
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย
|
|
เราจดหมายตามมีมาชี้แจง |
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่
|
|
ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง |
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง |
|
ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ |
|
|
|